Published on ISSUE 3
สิ่งที่น่าประทับใจตั้งแต่ทำงานมาของผมคงบอกได้ว่าเป็นเรื่องความผูกพันที่ได้อยู่ร่วมกัน เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา มันสื่อสัมพันธ์กันได้

From Zero To Hero

เรื่องและภาพ : howl the team

From Zero To Hero : จ่าสิบเอก ไพฑูรย์ ผิวหอม ครูฝึกสุนัขทหารที่มีประสบการณ์มากว่า 27 ปี

 

แม้กระทั่งฮีโร่ก็ต้องมีก้าวแรก

เราอาจคุ้นหูคุ้นตากับภาพจำของสุนัขทหาร ที่มักเป็นสุนัขพันธุ์เยอรมัน เชปเพิร์ด สีน้ำตาลลายดำ ยืนโชว์ตัวอย่างองอาจ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าฮีโร่ 4 ขา เหล่านี้จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาเองต้องผ่านวันเวลาแห่งการฝึกฝนเช่นกัน

จ่าสิบเอก ไพฑูรย์ ผิวหอม เป็นหัวหน้าครูฝึกสุนัขทหาร ประจำกองร้อยสุนัขยุทธวิธีที่ 3 ที่มีประสบการณ์ทั้งเคยเป็นผู้บังคับสุนัขทหารและเป็นครูฝึกรวมกันกว่า 27 ปี จนอาจกล่าวได้ว่าจ่าสิบเอกท่านนี้เป็นผู้ชำนาญการทางด้านการฝึกสุนัขทหารอย่างแท้จริงคนหนึ่งเลยทีเดียว

จริงอยู่ว่าเราอาจคุ้นเคยกับภาพของฮีโร่ 4 ขากันดีแล้ว แต่ภาพของชายผู้เป็น “ครูฝึกหัดฮีโร่” คนนี้นั้น เราเชื่อว่าท่านจะได้รู้จักเขาผ่านเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้อย่างแน่นอน

“ผมเริ่มทำงานเกี่ยวกับสุนัขทหารมาตั้งแต่ปี 2529” จ่าสิบเอกไพฑูรย์เริ่มต้นเล่าประวัติการทำงานให้เราฟัง “ในตอนแรกเราถูกบรรจุเป็นผู้บังคับสุนัขทหาร จากนั้นจึงได้มีโอกาสไปเรียนที่ศูนย์การสุนัขทหาร ซึ่งการที่ได้ไปเรียนที่ศูนย์การสุนัขทหาร ทำให้ผมได้รู้จักและสัมผัสกับเหล่าสุนัขทหารอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผมได้รู้ว่าสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถ้าได้รับการฝึกมาอย่างถูกต้องแล้ว เขาจะมีความสามารถในการช่วยเหลือประเทศชาติได้มากมายหลายหน้าที่”

ด้วยประสบการณ์กว่า 27 ปี ที่คลุกคลีกับสุนัขทหารนั้น ทำให้จ่าสิบเอกไพฑูรย์ หรือครูไพฑูรย์ นั้นมีสายตาเฉียบแหลมในการเลือกสุนัขมาฝึกฝน โดยครูไพฑูรย์กล่าวว่าสุนัขที่เหมาะกับการฝึกนั้น นอกจากมีประสาทสัมผัสที่ฉับไวแล้ว ยังต้องเป็นสุนัขที่มีความอดทนและพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด

“สุนัขที่นิยมนำมาฝึกเป็นสุนัขทหารนั้น หลังเลือกจากสายพันธุ์ที่เหมาะสม 4 สายพันธุ์แล้ว เรามักนิยมเลือกสุนัขที่มีปฏิกิริยาตื่นตัว ประสาทสัมผัสหู ตา จมูก ดี และมีนิสัยชอบติดตามค้นหา ต่อสู้และปะทะ รวมไปถึงมีวินัยที่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด”ครูไพฑูรย์อธิบายให้พวกเราฟัง

“ความจริงแล้วสุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก สามารถเข้าใจและปฏิบัติตามคำสั่งของมนุษย์ได้เป็นร้อยๆ คำ และที่สำคัญคือสุนัขมีประสาทสัมผัสดีกว่ามนุษย์เราทั้งหมด โดยสุนัขมีสายตาดีกว่ามนุษย์ 10 เท่า หู 20 เท่า และจมูก 40 เท่า แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลย เพราะสุนัขมีความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดีอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สัตว์ชนิดอื่นๆ สู้ไม่ได้”

ครูฝึกสุนัขทหารมากประสบการณ์ท่านนี้ยังเล่าให้เราฟังอีกว่า นอกจากสุนัขพันธุ์เยอรมัน เชปเพิร์ด ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ร็อตไวเลอร์ และโดเบอร์แมน พินเชอร์  4 สายพันธุ์หลักที่ใช้ฝึกเป็นสุนัขทหารแล้ว สุนัขพันธุ์ไทยทั่วไปก็พอจะสามารถฝึกเป็นสุนัขทหารได้ เพียงแต่สุนัขไทยมักจะเสียสมาธิง่ายและต้องการความเป็นอิสระสูง ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมการปฏิบัติภารกิจเป็นระยะเวลานานได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีในกองร้อยสุนัขยุทธวิธีที่ 3 แห่งนี้นั้น ก็มีสุนัขพันธุ์ไทยถูกฝึกเป็นสุนัขทหารและปฏิบัติหน้าที่อยู่เช่นกัน

“สุนัขพันธุ์ไทยมีจุดด้อยกว่าสุนัขพันธุ์ต่างประเทศอยู่เล็กน้อยตรงลักษณะนิสัย ด้วยลักษณะนิสัยของสุนัขไทยที่ต้องการความอิสระ ไม่ต้องการถูกควบคุมหรือสั่งการมากนัก แต่ถ้าถามว่าสามารถนำสุนัขไทยไปฝึกและสามารถใช้งานเขาได้ไหม คงต้องบอกว่าใช้งานและปฏิบัติตามคำสั่งได้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธคำสั่งแล้วเขาก็จะปฏิเสธคำสั่งไปเลย ไม่สามารถกู้ให้เขากลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อได้อีก ด้วยเหตุนี้ทำให้สุนัขพันธุ์ไทยทำงานได้ไม่นานเท่าที่ควร เวลาออกปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้งจึงบอาจต้องเลือกภารกิจที่เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของเขาให้ทำ”

โดยในแต่ละวันนั้นของแต่ละหน่วยนั้นอาจจะมีโปรแกรมการฝึกสุนัขทหารที่แตกต่างกันออกไป ครูไพฑูรย์บอกกับเราว่าโปรแกรมการฝึกของกองร้อยสุนัขยุทธวิธีที่ 3 นั้นจะเป็นในแนวทางของหน่วยใช้งานจริง เพราะเป็นสุนัขทหารที่จบหลักสูตรการฝึกและพร้อมปฏิบัติการแล้ว ซึ่งจะต่างจากโรงเรียนฝึกสุนัขทหารที่เน้นการฝึกให้สุนัขได้เรียนรู้ตามหลักสูตรมากกว่า

โปรแกรมการฝึกจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้ามืดตอนตี 5 โดยครูฝึกและผู้บังคับสุนัขจะทำความสะอาดคอกสุนัข ก่อนที่จะพามาทำความสะอาด ปัดขน และพาสุนัขออกกำลังกายประจำวันตอนเวลา 7 นาฬิกา 30 นาที จากนั้นในช่วง 9 นาฬิกาก็นำสุนัขแต่ละตัวออกมาฝึกตามหน้าที่เฉพาะของตัวเองอีกครั้ง

“แต่อย่างไรก็ดีโปรแกรมการฝึกในแต่ละวันนั้นอาจจะมีการยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม หากมีภาระหน้าที่ที่ต้องไปปฏิบัติการ เช่น บางครั้งอาจมีนำสุนัขทหารออกตรวจหรือปิดล้อมตรวจค้นวัตถุระเบิดตามคำสั่ง เป็นต้น”

หลังจากที่ได้อยู่และใช้ชีวิตร่วมกับสุนัขทหารมามากหลายสิบรุ่นในชีวิตของครูไพฑูรย์นั้น เขาบอกว่าสิ่งที่ได้มาผ่านวันเวลาอาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่หวือหวาน่าตื่นเต้น หากแต่เป็นความผูกพันที่ค่อยๆ ถูกสั่งสมขึ้นมาเป็นเวลานาน เฉกเช่นเรื่องราวในชีวิตของเขาที่ไม่มีอะไรหวือหวาชวนระทึกเหมือนกับหนังแอ็คชั่นให้มาเล่าสู่กันฟังได้ ถ้าจะมีก็มีแต่เรื่องราวความผูกพันระหว่างเขากับสุนัขมากกว่า

“สิ่งที่น่าประทับใจตั้งแต่ทำงานมาของผมคงบอกได้ว่าเป็นเรื่องความผูกพันที่ได้อยู่ร่วมกัน เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา มันสื่อสัมพันธ์กันได้ พูดคุยกันได้รู้เรื่อง ผมมีสุนัขที่ผ่านการฝึกมาเยอะมาก คงต้องบอกว่าสิ่งที่ผมประสบคือความผูกพันมากกว่าความประทับใจในรูปเหตุการณ์”

“เราประทับใจที่เขาเตือนภัยเมื่อข้างหน้ามีอันตราย ผมเคยผ่านวิกฤติความไม่ปลอดภัยมาได้ก็เพราะพวกเขาทุกตัว โชคดีที่ผมไม่เคยประสบภัยอันตรายเลยไม่เป็นไร จึงขออนุญาตยกบทประพันธ์ของล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชนิพนธ์ถึงความซื่อสัตย์ของ ย่าเหล สุนัขของพระองค์ท่านเอาไว้ว่า

 

“ช่างจงรักภักดีไม่มีหย่อน                     จะนั่งนอนยืนเดินไม่เหินห่าง

ถึงยามกินเคยกินกับกูพราง                   ถึงยามนอน นอนข้างไม่ห่างไกล

อันตัวเพื่อนเหมือนมนุษย์สุจริต           จะผิดก็แต่เพียงพูดไม่ได้

แต่เมื่อกูใคร่รู้ความในใจ                       ก็มองดูรู้ได้ในดวงตา”