Published on ISSUE 2
เราตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเลี้ยงสุนัขทุกตัวของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และดูแลเขาไปตลอดชีวิต

ที่หนึ่งในใจ หนึ่งเดียวคนนี้

เรื่องและภาพ : howl the team

หากพูดถึงนักร้องหญิงระดับแนวหน้าของเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว

เชื่อว่าชื่อของ “ปุ๊-อัญชลี จงคดีกิจ” จะต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่ใครหลายคนนึกถึงอย่างแน่นอน

ทั้งกระแสตอบรับอัลบั้ม “หนึ่งเดียวคนนี้” อย่างล้นหลาม การได้รับเลือกจากเป๊บซี่ ถ่ายโฆษณาคู่กับศิลปินชื่อดังก้องโลกอย่าง ทีน่า เทอร์เนอร์ หรือการเล่นเป็นนางเอกละครประกบคู่พี่ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ซึ่งยังคงสร้างความประทับใจให้แก่คนดูมาจนถึงปัจจุบันนี้ และนี่คือเครื่องตอกย้ำถึงปรากฏการณ์ “ปุ๊ ฟีเวอร์” ที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี

ในวันนี้ นอกจากบทบาท นักร้อง นักแสดง หรือแม้กระทั่งนางแบบ ที่เธอเคยวาดลวดลายไว้เมื่อครั้งในอดีต พี่ปุ๊ยังเป็นเจ้าของร้านอาหารและทำกิจกรรมช่วยเหลือศาสนจักรมากมาย และอีกหนึ่งสิ่งที่เธอรักคือสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้อยู่หลายตัว จนเธอพูดติดตลกเองว่าเป็นงานหลักที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้เลยทีเดียว

ดังนั้น เราจึงอยากพาทุกท่านไปรู้จักชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งของพี่ปุ๊กับเหล่าผองเพื่อน 4 ขาที่เธอเลี้ยงไว้ รวมถึงโครงการชวน 4 ขามาให้เลือดที่กำลังช่วยประชาสัมพันธ์อยู่ในขณะนี้ด้วย

รับรองว่า…เรื่องราวของพี่ปุ๊จะยังคงสร้างความประทับใจตราตรึงใจ ไม่แพ้บทเพลงที่เธอเคยขับร้องไว้อย่างแน่นอน

 

1.

            เราพบกับคุณปุ๊-อัญชลี ที่แผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาฯ เพราะสุนัขชื่อ “แป้ง” ของพี่ปุ๊กำลังป่วยและต้องเข้ารับการรักษาพอดี ในเช้าวันนั้นคุณปุ๊ปรากฏตัวขึ้นพร้อมรถเข็นคันใหญ่ที่บรรทุกน้องแป้ง สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ สีเนื้อ ตัวใหญ่ เข้ามาในแผนกฉุกเฉิน  หลังจากเสร็จขั้นตอนการดูแลรักษาน้องแป้งแล้ว เราได้มีโอกาสพูดคุยกับศิลปินหญิงที่กาลเวลาไม่อาจพาเธออกไปจากความทรงจำของเราได้ เพราะเธอยังเป็น “หนึ่งเดียวคนนี้” ในใจของพวกเราเสมอ
“ตามสบายเลยนะ สัมภาษณ์ได้ทุกอย่างเลย” พี่ปุ๊พูดอย่างเป็นกันเองก่อนที่เราจะเริ่มบทสนทนากัน ซึ่งช่วยคลายความกังวลและความตื่นเต้นของพวกเราไปได้ไม่น้อย ก่อนที่จะบอกว่าให้เรียกตัวเธอเองนั้นว่า “พี่ปุ๊”

เมื่อ 30 ปี ก่อน เธอคนนี้คือนักร้องซุปเปอร์สตาร์หญิงชื่อดังของเมืองไทย ที่อาจกล่าวได้ว่า ถ้าซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1 ฝ่ายชาย คือ พี่เบิร์ด-ธงไชย ฝ่ายหญิงก็ต้องเป็น พี่ปุ๊-อัญชลี คนนี้เท่านั้น

ทั้งยอดขายและความนิยมถล่มทลายจากอัลบั้ม “หนึ่งเดียวคนนี้” และความสามารถมากมายที่ถูกถ่ายทอดออกมา ทำให้พี่ปุ๊ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการนักร้องสมัยนั้นได้อย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นมีแฟนเพลงไปปูเสื่อดักรอหน้าบ้าน เหมือนกับแฟนเพลงที่คลั่งไคล้นักร้องเกาหลีอยู่ในขณะนี้เลยทีเดียว แต่ละคอนเสิร์ตที่ได้ขึ้นแสดง ก็จะมีแฟนเพลงมาร่วมงานกันอย่างล้นหลามทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าในสมัยนั้นมีคนที่รักเธออยู่มากมายแค่ไหน

แต่หลังจากการเปิดตัวอัลบั้มหนึ่งเดียวคนนี้ และอีก 2 อัลบั้มถัดมา ท่ามกลางความสำเร็จสูงสุดที่เธอกำลังได้รับอยู่ในขณะนั้น อยู่ดีๆ พี่ปุ๊ก็หายหน้าไปจากวงการเสียดื้อ ๆ

และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม หลังจากที่ได้ทักทายและพูดคุยเรื่องทั่วไปกับพี่ปุ๊อย่างเป็นกันเองเรียบร้อยแล้ว เราจึงได้ตัดสินใจถามคำถามแรกที่เราเชื่อว่าแฟนเพลงทุกคนต้องอยากรู้และไม่เคยได้รับคำตอบนั้นมาก่อน

เรื่องราวการหายไปของพี่ปุ๊-อัญชลี

 

2.

“เราคงต้องบอกว่ามันคือชีวิตจริง”

พี่ปุ๊-อัญชลี พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่เราถามว่าเพราะเหตุใด อยู่ดี ๆ พี่ปุ๊จึงหยุดงานเพลงไปมากกว่า 5 ปี ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีแฟนคลับกำลังรอฟังเพลงจากพี่ปุ๊อยู่มากมาย

“เมื่อ 30 ปีก่อนนั้น การแข่งขันในวงการเพลงยังมีไม่สูงมาก ตอนนั้นเราออกอัลบั้มแรก แล้วประสบความสำเร็จจนโด่งดังอย่างรวดเร็ว ทำให้เราตั้งตัวไม่ติด เพราะตอนนั้นเราเพิ่งอายุแค่ 28 ปี ในวงการถือว่ายังอายุน้อยมาก ประสบการณ์ชีวิตก็ยังไม่โชกโชน อีกทั้งยังเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นาน ตอนแรกเมื่อประสบความสำเร็จก็ดีใจ แต่เมื่อออกอัลบั้มมาเป็นชุดที่ 2 ที่ 3 แล้วโดยส่วนตัวเราคิดว่ามันแย่ลง”

ด้วยแรงกดดันและความคาดหวังจากหลายทิศทาง ทำให้ผลงานอัลบั้มที่ 2 และ 3 ต่อมา แม้ว่าจะได้รับเสียงตอบรับดีเหมือนเคย แต่สำหรับตัวเธอแล้วคิดว่ามันยังไม่ประสบความสำเร็จดังที่คาดหวังไว้ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่เธอบอกว่าอยากหยุดทำงานด้านร้องเพลงซักพัก เพื่อให้เธอมีเวลาได้คิดและทบทวนตัวเองมากกว่านี้

“เมื่อมีแรงกดดันมาจากหลายทิศทาง แม้ว่าเรายังพยายามร้องเพลง ทำงานไปเรื่อย ๆ แต่บางที่ในใจมันรู้สึกไม่สบายใจ แล้วเราก็เริ่มมีความคิดว่าอยากลงจากหลังเสือ อยากหยุดร้องเพลงซักพักเพื่อให้เวลาตัวเอง แล้วพอดีช่วงนั้นมีคนมาเผยแพร่คำสอนเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเยซูให้เราฟัง เราก็เลยลองเปิดใจศึกษาดู”

การที่ได้พบกับพระเจ้าและความเชื่อทางศาสนาคริสต์นั้นทำให้พี่ปุ๊ เริ่มเข้าใจถึงความสุขและตัวเองมากขึ้น จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจหยุดออกอัลบั้ม ทั้ง ๆ ที่อัลบั้มที่ทำอยู่ตอนนั้นใกล้จะเสร็จแล้วเต็มทีก็ตาม

“เราตัดสินใจหยุดอัลบั้มเลย ทั้ง ๆ ที่อัลบั้มนั้นจวนจะเสร็จแล้ว เพราะรู้ว่าถ้าฝืนออกไปโดยที่เราไม่มีใจให้กับมันต้องออกมาไม่ดีแน่ เลยตัดสินใจหยุดแล้วมาศึกษาตัวเองผ่านทางความเชื่อทางคริสต์แทน ซึ่งเราใช้เวลาที่หยุดไปนั้นพยายามทบทวนตัวเอง และหาคำตอบว่าความสุขของเราคืออะไร”

หลังจากหยุดไปกว่า 5 ปี ในที่สุดเธอก็มีความรู้สึกว่าอยากออกอัลบั้มอีกครั้ง แม้ว่าจะหายจากวงการไปนาน โดยที่ไม่ได้เคยออกอัลบั้มอะไรออกมาอีกเลยก็ตาม แต่ถึงกระนั้นพี่ปุ๊ก็ยังตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า อยากออกอัลบั้มอีกซักชุด  จนในที่สุดก็ออกมาเป็นอัลบั้ม “Cross Road” และประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

“เราดีใจมากที่อัลบั้ม Cross Road ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเรามีเวลาได้ทบทวนตัวเอง โดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนต่างมีช่วงที่ต้องค้นหาอะไรบางอย่าง ทำให้ต้องหยุดอะไรบางอย่างลงไป และสำหรับเราก็ค้นหาและพบแล้ว เราได้คำตอบแล้วว่าความสุขที่เราตามหานั้นคืออะไร”

ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าความสุขของเธอก็คือการร้องเพลงนั่นเอง

 

IMG_0288

 

3.

            “จะว่าไปแล้ว…งานหลักตอนนี้คงเป็นการเลี้ยงหมา”

พี่ปุ๊พูดพลางหัวเราะยาว เมื่อเราถามว่าตอนนี้พี่ปุ๊กำลังทำอะไรอยู่ ความจริงแล้วนอกจากการเลี้ยงสุนัข พี่ปุ๊ยังคงร้องเพลงอยู่อย่างต่อเนื่อง พ่วงด้วยงานด้านการแสดงบ้าง และทำร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างชื่อดังอย่างร้าน “Sumi+”

แต่ถึงกระนั้นพี่ปุ๊ก็ยังยืนยันว่า ตอนนี้งานเลี้ยงสุนัขเป็นงานใหญ่ที่เธอรับผิดชอบและมีความสุขกับเพื่อน 4 ขาทุกตัวของเธอ ซึ่งพี่ปุ๊ยังอีกว่า ในตอนนี้สุนัขที่เลี้ยงทั้งหมดมี 11 ตัว จุดเริ่มต้นของการเลี้ยง คือ พี่ปุ๊บอกว่าเกิดจากพี่เบิร์ด ธงไชย ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน

“ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว คงต้องเริ่มเท้าความถึงพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ กันเสียหน่อย ในตอนนั้นเราเล่นหนังด้วยกัน แล้วอยู่ดี ๆ เขาก็อุ้มสุนัขขนยาวตัวเล็กนิดเดียวอยู่บนมือ เราก็ตื่นเต้นถามว่านี่เป็นแมวอย่างนั้นเหรอ พี่เบิร์ดก็หัวเราะแล้วบอกว่า พี่ปุ๊ นี่มันหมา เราก็ถามว่าพันธุ์อะไร เพราะในประเทศไทยเมื่อประมาณ 30 ปี ก่อน สุนัขพันธุ์เล็กยังไม่แพร่หลายมากนัก เรารู้จักก็แต่สุนัขพันธุ์ใหญ่ ตัวเล็กที่สุดที่รู้จัก คือ พันธุ์พุดเดิ้ล เมื่อถามไปแล้วก็เลยได้คำตอบมาว่าเป็นพันธุ์ยอร์กเชียร์ เทอร์เรีย”

เมื่อได้รู้จักชื่อสายพันธุ์นี้แล้ว พี่ปุ๊ก็เลยไปหาสุนัขพันธุ์ยอร์กเชียร์ เทอร์เรีย ที่เป็นพี่น้องกับสุนัขของพี่เบิร์ดมาเลี้ยงบ้าง และได้มาเป็น “มูมู่” สุนัขตัวแรกของเธอในที่สุด

“จากการที่ได้มูมู่มาเลี้ยงแล้วทำให้เป็นจุดเริ่มต้นการเลี้ยงสุนัขของเราเลย จากตอนแรกก็ยังเลี้ยงไม่ค่อยเป็น แต่ด้วยความอยากเลี้ยงทำให้เราเริ่มต้นศึกษามาเรื่อยๆ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ แต่ก็พยายามมาตลอด”

จากตอนแรกที่พี่ปุ๊เลี้ยงมูมู่เพียงตัวเดียว แต่พอเวลาผ่านไปซักพัก ก็เริ่มอยากเลี้ยงลูกสุนัขบ้าง เลยพามูมู่ไปผสม และเริ่มมีลูกมีหลานขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ก็ยังมีไปซื้อมาเพิ่มเติมอีกบ้าง มีเพื่อนมาให้บ้าง จนรู้สึกตัวอีกที พี่ปุ๊ก็บอกว่าเลี้ยงไปเกือบ 15 ตัวแล้ว และหลังจากนั้นก็มีตัวที่จากไปตามอายุขัย จนในตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 11 ตัว

 

IMG_0271

 

4.

ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่นั้น สายตาของเราก็มองไปเห็นโปสเตอร์โครงการชวน 4 ขามาให้เลือด ซึ่งแปะอยู่ที่ผนังของโรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาฯ โครงการนี้เป็นการเชิญชวนให้พาสุนัขและแมวมาบริจาคเลือดเพื่อเก็บในธนาคารเลือด และพี่ปุ๊เองก็เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับโครงการนี้อยู่ ซึ่งมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์และยังพาสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้มาเข้าร่วมโครงการนี้เองอีกด้วย

“ตอนเห็นป้ายโครงการชวนสุนัขมาบริจาคเลือดครั้งแรก เราก็แปลกใจเพราะไม่คิดว่าในสุนัขก็มีการบริจาคเลือดเหมือนกัน พอมานึก ๆ ดูแล้วเราก็มีสุนัขขนาดตัวใหญ่พอบริจาคเลือดได้ตั้ง 3 ตัว เลยอยากลองดูบ้าง”

หลังจากนั้น พี่ปุ๊ก็ติดต่อกับทางโรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาฯ และพาสุนัขที่บ้านทั้ง 3 ตัว ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ทั้งหมดมาบริจาคเลือดเพื่อเข้าร่วมโครงการเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นจึงมีโอกาสเข้าช่วยเหลือและประชาสัมพันธ์โครงการนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งเธอบอกว่าดีใจและภูมิใจมากที่ได้ช่วยงานนี้ รวมไปถึงเห็นสุนัขของตัวเองสามารถช่วยเหลือสุนัขตัวอื่นๆ ได้อีก

“รู้สึกดีใจมากที่สุนัขของเราสามารถทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ด้วย ไม่ใช่แค่เราเลี้ยงสุนัขแล้วมีความสุขของเราคนเดียวแค่นั้น  หลังจากพาไปบริจาคเลือดทีไร แล้วมองสุนัขของเราทีไรก็รู้สึกภูมิใจมากทุกครั้ง” พี่ปุ๊หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ตัวเองมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะบริจาคเลือด แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยได้บริจาคเลือดเลยซักครั้ง ส่วนใหญ่เพราะน้ำหนักตัวไม่ถึงตั้งแต่ตอนสาวๆ จนถึงตอนนี้  แต่มีช่วงหนึ่งตอนอายุ 40 กว่า เคยน้ำหนักถึงเกณฑ์แล้ว ตอนนั้นก็ดีใจมากเลยรีบไปบริจาค ปรากฏว่าโดนปฏิเสธ เราก็สงสัยว่าปฏิเสธเรื่องอะไร พยาบาลก็น่ารักมากพยายามหาข้อปฏิเสธเฉไฉไปเรื่องอื่น ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ยอมบอกตรง ๆ ว่าเลือดของเราอายุมากไปหน่อย เราก็บอกว่า แหม พูดตรง ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

หากถามถึงประสบการณ์ตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ พี่ปุ๊บอกว่าอาจจะยังไม่มีจนถึงขนาดเป็นเรื่องเล่าให้ฟังได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่น่าดีใจซะมากกว่า และมักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
“มีคนถ่ายภาพให้เราดูว่ามีสุนัขได้รับบริจาคเลือดจากสุนัขของเรา เราดีใจมาก เพราะสุนัขของเราได้ช่วยเหลือชีวิตสุนัขตัวอื่นจริง ๆ นอกจากนี้ ยังเคยมีอีกกรณีหนึ่งคือพาสุนัขของเราชื่อ ปองปอง มาบริจาคเลือด  แล้วมีคุณหมอมาขอรับเลือดที่บริจาคตอนนั้นทันทีเลย เพราะกำลังมีสุนัขที่ต้องการได้รับเลือดฉุกเฉินอยู่ในขณะนั้นพอดี เราก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจเพราะพอสุนัขเราบริจาคเลือดปุ๊บ ก็มีสุนัขที่ต้องการเลือดนั้นทันที มันรู้สึกเหมือนเราได้ช่วยอีกชีวิตหนึ่งไว้เลยนะ”

 

5.

พี่ปุ๊บอกว่าชีวิตของตัวเธอเองเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เลี้ยงสุนัข

จากแต่เดิมที่พี่ปุ๊บมีนิสัยส่วนตัวแบบเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่เมื่อเลี้ยงสุนัขแล้วทำให้ต้องเป็นคนที่มีวินัย ใส่ใจ และจริงจังกับทุกรายละเอียดมากขึ้น เพราะการเลี้ยงสุนัขคือการรับผิดชอบชีวิตของเขาทั้งชีวิต

“การเลี้ยงสุนัขต้องมีวินัยและตรงต่อเวลาด้วย เพราะต้องให้อาหาร พาไปตรวจสุขภาพ พาไปฉีดยา แต่ก่อนเราเป็นสไตล์เอาไงก็เอากัน ไมได้จริงจังอะไรมาก แต่เมื่อมาเลี้ยงหมาแล้วทำให้เราต้องใส่ใจ และจริงจังกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น ต้องคอยดูแลสมุดพกสุขภาพสุนัข ซึ่งเมื่อก่อนไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น”

และสิ่งที่พี่ปุ๊ได้รับกลับมาหลังจากการชอบเลี้ยงสุนัข ก็คือ ความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างเจ้าของและตัวสุนัขนั่นเอง

“ เราได้รับความรักจากเขามามากมาย เราชอบมองสายตาของเขาเวลามองมาที่เรา ซึ่งเป็นสายตาที่ไม่สามารถมองหาได้จากที่อื่น มันเป็นสายตาที่ภักดี และที่สำคัญคือเราเองก็รักเหมือนเขาเหมือนลูก เห็นเขาเป็นเหมือนครอบครัวคนหนึ่งของเรา แล้วยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอีกด้วย”

“ดังนั้นเราจึงอยากเตือนคนเลี้ยงสุนัขว่าเราต้องมีความรู้ก่อน ตามมาด้วยความรักจริง เราต้องยอมรับภาระหน้าที่ที่จะตามมา ต้องคอยดูแลสุขภาพ เอาใจใส่เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วย และต้องรู้ว่าเราเหมาะกับสุนัขที่เลี้ยงไหม ถ้าไม่พร้อมก็อย่าเลี้ยงเลย เพราะถ้าคิดจะเลี้ยงหมายถึงว่าเราต้องเลี้ยงเขาไปตลอดชีวิต”

 

IMG_0272

 

6.

“แป้งนี่ก็อายุ 15 ปีแล้ว เทียบกับคนคงอายุ 90 กว่า”

พี่ปุ๊ยิ้มและเล่าให้เราฟังถึงแป้ง สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ ที่เธอพามารักษาในวันนี้ เธอบอกว่าในระยะหลังนี้สุนัขที่เธอเลี้ยงหลายตัวเริ่มเข้าสู่ช่วงสูงวัย ทำให้ต้องพามาที่โรงพยาบาลสัตว์อยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะเป็นงานที่เสียเวลา ต้องไปกลับระยะทางไกลๆ  แต่คุณปุ๊ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นภาระสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย

“เราตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเลี้ยงสุนัขทุกตัวของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และดูแลเขาไปตลอดชีวิต”

ดังนั้นเมื่อถามถึงอะไรที่อยากทิ้งท้ายไว้ พี่ปุ๊ก็ตอบกลับทันทีว่า อยากให้คนที่เลี้ยงสัตว์มีความรับผิดชอบต่อสัตว์ที่ตัวเองเลี้ยงให้ได้มากที่สุด

“สำหรับคนที่คิดจะเลี้ยงสัตว์นั้น ควรสำรวจตัวเองก่อนว่าพร้อมที่จะเลี้ยงสัตว์หรือไม่ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่พร้อมก็อย่าฝืนเลี้ยงเด็ดขาด และถ้าตัดสินใจจะเลี้ยงแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบเลี้ยงเขาไปให้ตลอด และอย่าลืมรักเขาให้มากๆ ”

“เหมือนกับเพลงที่พี่บอย โกสิยพงษ์ แต่งเอาไว้ที่มีความหมายว่า ในชีวิตของคนเรานั้นมีแง่มุมหลากหลาย ได้พบเจอกับคนอื่นมากมาย”

“แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงแล้ว โลกของเขามีแค่เราเท่านั้นจริงๆ”