Published on ISSUE 4
ร้อยละ 80-90 เด็กสมัยนี้ความอดทนต่ำ บางทีเล่นดนตรีมาได้ 2 ปี ก็เริ่มรู้สึกแบบไม่ไหวแล้ว ซึ่งสมัยก่อน กว่าวงดนตรีเมืองนอกจะเกิดขึ้นมาได้นี่ต้องเป็นสิบปีเลยนะ ไม่มีอะไรได้มาโดยที่ไม่ฝึกซ้อม ทุกคนต้องฝึกซ้อมหมด

The Journey of Sound

เรื่องและภาพ : อภิชาติ ตั้งกิจเจริญวงศ์

หากเราอยากชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจากบนยอดเขาสูง เราคงต้องยอมเหน็ดเหนื่อยและอดทนต่อการเดินทางที่ดูจะแตกต่างจากการใช้ชีวิตในประจำวันของเรามิใช่น้อย การเดินทางที่ไม่มีใครมองเห็นปลายทางตั้งแต่จุดเริ่มต้น และอาจต้องใช้พลังงานมากเกินกว่าที่กำลังขาของตัวเองจะทนรับไหว จึงไม่น่าแปลกที่ระหว่างทางเดิน เราจะได้พบกับผู้คนที่เดินสวนทางและบางคนที่บอกกับเราว่าจุดหมายปลายทางนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน แต่นั่นจะไปสำคัญอะไร ถ้าหัวใจของเรายังคงมีหวังที่จะเดินทางต่อ และแม้ว่าความจริงที่ปลายทางนั้นอาจจะดูแล้วไม่มีอะไรคุ้มค่า แต่ก็เชื่อแน่ว่าเราจะภูมิใจที่อย่างน้อยก็เคยได้ออกเดินทางมาจนถึงจุดนี้

เหมือนกับเจ้าของค่ายเพลงอิสระคนหนึ่งที่พยายามทำตามทัศนคติและแนวคิดของตัวเองอย่างมุ่งมั่น เพื่อสร้างความฝันและเป็นแรงผลักดันให้คนรุ่นใหม่อย่างมากมาย เขาคนนั้นคือ คุณอ๊อฟ (อนุชา โอเจริญ) หนึ่งในผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Rat records ร่วมกับคุณหยวน (เปรมกมล สันติวัฒนา) คุณเมย์ (ณัฐนาถ สุประภาตะนันท์) และคุณเปเล่ (คริสโตเฟอร์ วอชิงตัน) ลองให้นักเดินทางผู้แข็งแกร่งคนนี้บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของเขาดูสักครั้ง

บนทางเดินอันลาดชันและยาวไกลสู่ยอดเขาที่มีชื่อว่า “ความฝัน” นั้น เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง

และวิวทิวทัศน์บนยอดเขานั้น…เขามองเห็นอะไร


ทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ที่มาของชื่อค่าย Rat Record มาจากตอนนั้นดูรายการฝรั่ง ประมาณว่าหาซากรถเก่าแล้วเอากลับมาทำใหม่ เค้าจะเรียกการทำแบบนั้นว่า Rat look คือเป็นแนวสนิมๆ หน่อย เราก็เฮ้ย ชอบคำนี้ เหมือนเอารถเก่ามาทำให้เป็นสนิมแต่ดูดี แล้วเราก็ชอบหนู เพราะรู้สึกว่ามันน่ารักดี และเป็นสัตว์ที่สำคัญต่อมนุษย์เหมือนกันนะ เพราะเวลาที่เค้าทดลองขึ้นไปบนดวงจันทร์หรืออวกาศก็ส่งหนูขึ้นไป แล้วมันเป็นสัตว์ที่อยู่ในท่อ ถ้าเปรียบกับวงการเพลง ในท่อก็เหมือนกับวงการเพลงใต้ดิน เราก็เลยแทนศิลปินในค่ายเป็นคล้ายๆ กับหนูทดลอง คือให้ทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละคนไป

 

IMG_6982

แนวคิดที่แตกต่าง

ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนเรียนศิลปะผมจะทะเลาะกับอาจารย์บ่อยมาก ประมาณว่าอาจารย์ชอบแบบนี้ ทำให้อาจารย์ได้มั้ย ผมก็เลยคิดว่า ถ้าผมทำตามอาจารย์บอกหมดอันนี้ก็เป็นงานของอาจารย์สิ ผมก็เลยบอกว่าผมขอทำแบบนี้ แต่ผมขอเกรดน้อยลงได้ไหม ถ้าผมทำตามที่อาจารย์ชอบผมจะได้ A ใช่มั้ย แต่ผมขอทำในแบบที่ผมชอบผมขอ C ก็ได้ อาจารย์ก็เลยให้ทำ ตอนเรียนจบมาผมเลยไม่ได้สนใจเกรดเลย ซึ่งตอนมัธยมผมจบมาได้เกรด 1.2 เอง ผมรู้สึกว่าการเรียนรู้มันไม่ใช่เรื่องของเกรด ไม่ใช่เรื่องของหนังสือที่เราไปอ่าน ผมว่ามันเป็นมุมมองของตัวเอง เราต้องหาให้เจอว่าสีไหนที่เราชอบที่สุด แล้วสีนั้นมันผสมมาจากอะไร

7 ปีกับวงการเพลงโฆษณา

หลังเรียนจบ Communication Arts จาก ม.กรุงเทพ ผมก็ไปทำงานอยู่กับ Warner music ออกแบบพวกปกเทปวงคาราบาว ซูซู บางทีก็มีวงนอกอย่าง Linkin Park คือต้องบอกว่าเมืองนอกในยุคนั้นเค้าจะไม่มีเทปคาสเซ็ท เค้าก็จะให้แปลงจากปกซีดีมาเป็นปกเทป แต่พอทำไปเรื่อยๆ แล้วผมเบื่อ ก็เลยไปหารุ่นพี่ที่เค้าทำเพลงโฆษณาอยู่ที่ค่ายๆ หนึ่ง ไปคลุกคลีกับเค้าอยู่ประมาณ 4-5 เดือน เรียนรู้การทำเพลงโฆษณาจากเค้า เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมสนใจมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว ซึ่งพอเริ่มเป็นก็เริ่มออกมารับงานนอกเอง ใครอยากได้เพลงโฆษณาก็บอก ก็เลยทำมาเรื่อยๆ ทั้งเพลงโฆษณาทีวี เครื่องอ็อคเหล็ก เครื่องตัดหญ้า ผมทำหมด (หัวเราะ)

มาลองทำกันดูไหม

ก่อนหน้านี้ผมเล่นดนตรีอยู่ด้วยชื่อวง dot เล่นตามปาร์ตี้ตามงานต่างๆ มีเพลงของวงบ้าง 2-3 เพลง แล้วเรามีความคิดว่าอยากหากลุ่ม รวมกลุ่มคนที่ชอบเพลงคล้ายๆ กัน ทำเพลงเพราะๆ ดี ที่ไม่ได้ทำด้วยจุดประสงค์ที่จะขายตลาด แล้วผมเป็นคนชอบฟังเพลงสากลอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าประเทศไทยยังไม่ค่อยมีคนที่ทำเพลงโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนะ แบบไม่ต้องมานั่งแปลหรือมีซับอะไรกัน แล้วมันมีเว็บไซต์ชื่อ www.seaindie.com เป็นแบบรวมเพลงอินดี้ของทั่ว Southeast Asia และผมเป็นวงไทยวงหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในนั้น แล้วบังเอิญมี Part time the musician เข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยได้คุยกันว่า เฮ้ย ชอบเพลงหวะ เพลงเพราะ เรามาเริ่มทำกันดูมั้ย ก็เลยเกิดเป็นวงแรกที่ออกมาโปรโมทก่อนคือ Part time the musicians

 

IMG_6995

 

3 ปีกับ Rat record

ศิลปินในค่ายตอนนี้ก็มีวง Part time the musicians, Dot, The Whitest Crow, Phum Viphurit และน้องใหม่ล่าสุดคือ Psycho Katts ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะทำเป็นเพลงสากลทั้งหมด แค่อยากลองดูก่อน แต่พอทำแล้วมันพอไปได้ จะให้ลองขยับไปทำเพลงไทยก็รู้สึกว่าไม่อยากทำแล้ว เพราะแบบนี้มันตรงกับที่เราชอบมากกว่า เหมือนได้สนองความต้องการที่อยากจะทำของตัวเอง ส่วนห้องอัดมี 2 ที่คือ home studio ของนิคใช้อัดให้กับวง Part time ส่วนวงอื่นๆ ก็จะอัดที่บ้านผมเอง

ทำงานแบบพี่น้อง

ผมรู้สึกสนุกที่ได้เจอน้องๆ บางทีมาปาร์ตี้กัน ตลก เฮฮา เรื่องเครียดหรือทะเลาะกันมีบ้างแต่น้อย ส่วนใหญ่จะนั่งกินข้าวนั่งเล่นเหมือนอยู่กันแบบครอบครัว บางทีวงเค้าไปเล่นต่างจังหวัดก็ตามไปบ้าง ไปอยู่ในห้องพักเล่นกัน ศิลปินในค่ายส่วนใหญ่เลยมาจากการแนะนำต่อกันมาว่าวงนี้น่าสนใจ คือชวนคนที่รู้จักกันอยู่แล้วมาทำงานด้วยกัน เพราะเวลาคุยกัน ผมรู้สึกว่ามันน่าจะง่ายกว่าที่จะต้องเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ แต่ก็มีน้องๆ ที่ส่งเพลงเข้ามาให้ฟังทางข้อความเฟสบุ๊คเรื่อยๆ นะ บางคนส่งมาฝึกงานก็มี เหมือนอยากเป็นตากล้องอะไรงี้ ถ้ามีงานที่เหมาะสมเราก็ให้เข้ามานะ จริงๆ ยินดีตั้งแต่แนวคิดที่เหมือนกันแล้ว

 

 IMG_6988

 

แรงขับเคลื่อนที่ดี

ถ้าเกี่ยวกับเพลงคือ Damon Albarn ผู้ก่อตั้งวง Blur เพราะช่วงยุค’90 ผมชอบฟังเพลงอัลเทอร์เนทีฟ แล้ว Damon Albarn เนี่ยทำเพลงชุดแรกออกมาแล้วเอาไปส่งค่าย ไม่มีค่ายไหนรับเลย เค้าเลยกลับไปหาพ่อ พ่อเลยตั้งค่ายให้ลองขายเอง แล้วก็ดังเลย พอทีนี้มีหลายค่ายพยายามมาดึงตัวให้ไปอยู่ด้วย เค้าก็ไม่ไปแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าถ้าเราทำอะไรแบบตั้งใจแล้วก็ทำไปเถอะ ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดืออร้อน แต่ถ้าในเมืองไทยก็ต้องยกให้ Modern dog เลย เพราะในยุคนั้นต้องยอมรับว่าพวกพี่ๆ เค้ากล้าจริงๆ กล้าที่จะหลุดออกจากสิ่งที่ทุกคนเป็น เพราะตอนนั้นเพลงจะเป็น Pattern เหมือนกันหมด พอเพลงบุษบา เพลงกะลา ออกมา เนี่ยแหละมันคือดนตรีที่ผสมกันในแบบที่ตอนนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งผมก็ยังไม่รู้เลยว่าแนวเพลงนี้เค้าเรียกว่าอะไร จนฟังไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่ามันคืออัลเทอร์เนทีฟ แล้วบุษบาก็เป็นเพลงที่คนยังฟังกันจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาก็เป็นค่าย Bakery ที่ให้แรงบันดาลใจที่ดี ซึ่งถือว่าสุดยอดเลยสำหรับผม

ธุรกิจดนตรีในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ผมมองว่ามันกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อ เป็นยุคเปลี่ยนผ่านที่คนไม่ซื้อเพลง คนมองเห็นเพลงเป็นของฟรี ยุคนี้เหมือนเป็นการซื้อโชว์ ซื้อความโดดเด่น เหมือนเราอยากดูโชว์จากเค้า เราก็จ้างศิลปินมามากกว่าที่จะขายเพลงแล้ว ค่ายก็เลยพยายามปล่อย MV เพื่อให้คนเอาเพลงไปฟังฟรีๆ และเน้นงานจ้างไปโชว์ตัวหรือพวกงานอีเว้นท์มากกว่า ที่ค่ายเราก็เลยพยายามหาศิลปินที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เพราะเค้าจะได้จ้างเรา ถ้าเอกลักษณ์เราไม่แตกต่างจากวงอื่นเลย งั้นเค้าจ้างคนอื่นก็ได้ ผมว่ามันกำลังกลับไปในยุคที่แนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟรุ่งเรือง เพราะค่ายใหญ่ๆ ที่ขายเพลงตลาดตอนนี้ก็กำลังมีปัญหาเหมือนกัน ส่วนทางออกของเราคือ ปล่อยขายออนไลน์เป็นหลักเลย แต่จะเน้นว่าทั้งงานเพลงและ MV ต้องออกมามาตรฐานโอเค เพื่อให้คนรู้สึกว่ามันเป็นงานจริงๆ เหมือนเราขายงานศิลปะมากกว่า

การเลี้ยงชีพกับงานในฝัน

จริงๆ ทำค่ายเพลงเองก็มีกำไรบ้าง แต่ไม่เยอะ ผมมองว่าเหมือนเราลงทุนไปก้อนหนึ่ง แล้วมันมีเงินหมุนได้ด้วยตัวของมันเองก็ดีแล้ว ซึ่งประโยชน์อีกอย่างคือ 1. น้องๆ มีงานเล่น 2. มีเครดิตเข้ามา เช่น มีเพลงได้ไปประกอบหนัง 3. เราได้ทำในสิ่งที่ไม่รู้ว่าตายไปจะได้ทำมั้ย ซึ่งผมถือว่ามันก็โอเคแล้ว แล้วผมมีอีกทางคือ ทางค่ายก็รับทำเพลงโฆษณาด้วย อันนั้นจะไว้สำหรับเลี้ยงชีพ แต่ส่วนของค่ายเพลงเหมือนเราอยากให้เป็นส่วนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นมากกว่า

 

IMG_6987

 

ถ้าดนตรีคืองานหลัก

มันเป็นไปได้นะ แต่ว่าต้องประกอบไปทั้งเล่นด้วยและทำเพลงเบื้องหลังไปด้วย ก็จะพอเป็นงานที่หากินได้ แต่ถ้าเกิดคิดว่าจะมาเป็นศิลปินแล้วขายแผ่นอย่างเดียว ผมว่าเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างน้อย อาจจะซัก 1 ใน 100 เลย เพราะตอนนี้ค่ายย่อยๆ ที่อยู่ในเครือค่ายใหญ่ก็มีปิดไปเยอะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งมันอาจต้องรออีกซัก 1-2 ปี น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ให้ดู แต่ทุกการแข่งขันมันต้องมีการพัฒนาแหละ ถ้าไม่มีการแข่งขันมันก็อยู่คงที่ ผมเลยมองว่าที่ค่ายเราเน้นไปในส่วนของเนื้อเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษเนี่ย ไม่ได้เพื่อให้ดูเท่หรืออินดี้อะไรนะ ผมแค่คิดว่ามันดูเป็นสากล เป็นภาษาที่คนใช้เยอะที่สุดในโลก โอเคว่าถ้าทำเป็นเนื้อภาษาไทย ผมก็เชื่อว่ามันจะครองใจคนไทยได้ แต่มันก็เหมือนกับนักฟุตบอลที่ได้แชมป์ซีเกมส์มาแล้ว 20 สมัย แต่ไม่เคยออกไปได้แชมป์เอเชี่ยนเกมส์กลับมาซักที

ไม่มีอะไรได้มา…โดยที่ไม่ฝึกซ้อม

ส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 เด็กสมัยนี้ความอดทนต่ำ บางทีเล่นดนตรีมาได้ 2 ปี ก็เริ่มรู้สึกแบบไม่ไหวแล้ว ซึ่งสมัยก่อน กว่าวงดนตรีเมืองนอกจะเกิดขึ้นมาได้นี่ต้องเป็นสิบปีเลยนะ ไม่มีอะไรได้มาโดยที่ไม่ฝึกซ้อม ทุกคนต้องฝึกซ้อมหมด ทำกับข้าวก็ต้องทำครัวมาก่อน 4-5 ปีถึงจะเก่ง จริงๆ มันก็ทุกอาชีพแหละ เพราะงั้นถ้าอยากจะทำอะไรจริงๆ ก็อย่าเพิ่งท้อเร็ว อยากให้ลองทำดูนานๆ ก่อน มันยังไม่มีอะไรที่เสียหาย 4-5 ปีนี่ก็ยังไม่สายนะ ทุกอย่างเริ่มจากฝึกและก็อย่าแพ้เร็ว

 

IMG_6991


ฝากถึงคนรุ่นใหม่

พยายามทำสิ่งที่ตัวเองรักให้ดี ผมว่าถ้ารักก็ลองทำดูก่อนเลย แล้วมันจะหาทางออกของมันเองได้เรื่อยๆ ว่ามันจะอยู่รอดได้ยังไง มันจะเป็นยังไงต่อ ผมมองนะว่าคนเรามีงานที่ตัวเองไม่รัก แต่ก็ต้องทำเพื่อหาเลี้ยงชีพและทุกคนมันต้องมีสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วก็มีบางคนที่ยังไม่ได้ทำ โดยเฉพาะสำหรับคนที่รักในการเล่นดนตรี อยากให้ลุยเลยเถอะ ลองทำดูซะ ก่อนที่ไม่มีโอกาสทำแล้วต้องมานั่งเสียใจ เพราะว่าดนตรีมีอายุขัยของมันนะ อย่างเช่นพออายุ 65 จะมานั่งเล่นกีต้าร์อีกมันก็ไม่ไหวแล้ว ก็ลองทำตั้งแต่เริ่มคิดได้ว่าอยากทำเลยดีกว่า จริงๆ ผมว่าทุกวงการ แม้กระทั่งละคร หนัง เพลง ถ้าทุกคนตั้งใจทำงานให้มีคุณภาพ ไม่ได้แบบว่าเน้นที่จะต้องขายดี ผมว่าทุกวงการจะดีขึ้นนะ และผมคิดว่ายิ่งเม็ดเงินที่มีเข้ามามากๆ เท่าไหร่ ยิ่งทำให้วงการนั้นมันเสี่ยงที่จะเสียหายขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเงินกลายเป็นตัวที่ฆ่าความเป็นศิลปะของทุกวงการเลย

คนเราไม่ได้ถูกสร้างเพื่อให้เก่งเพียงอย่างเดียว

ฝึกทำสิ่งที่ตัวเองรักเยอะๆ ถ้าลองฝึกดูแล้วไม่ได้รัก ให้ลองเปลี่ยนหาอย่างอื่นฝึกใหม่ แล้วถ้าเจอที่ตัวเองชอบมากจริงๆ แล้วฝึกเยอะๆ ยังไงก็เก่ง ไม่มีทางไม่เก่งแน่นอน คนเราทำอะไรทุกๆ วันนะ ก็ไม่มีใครสู้ได้หรอก เพราะว่ามันบ้าไปแล้ว คือมันทำทุกวัน จนมันเก่งอะ ผมไม่เชื่อกับคำที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่างเพียงอย่างเดียว ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อฝึก ชอบ พอชอบแล้วก็ฝึก มันน่าจะทำอะไรได้หลายอย่าง แล้วมันจะทำให้อยู่รอดได้ดีขึ้น ถ้าวันหนึ่งไปทางนี้แล้วไปต่อไม่ได้ ก็เลือกไปอีกทาง ต้องลองหาดู แนะนำให้ทดลอง อันไหนลองแล้วไม่ชอบก็ไปทำอย่างอื่น โดยที่หลายๆ อย่างที่ทำอาจจะไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้ ต้องลองลงไปคลุกคลีกับมันก่อน เดี๋ยวนี้เค้าก็มีเปิด Workshop หลายๆ แขนง ทั้งถ่ายภาพ การทำเพลง การเขียนเพลงแล้วพวกนี้มันฟรีหมดนะ อย่าแค่นั่งคิดอยู่บ้านเลย เริ่มลงมือทำกันได้แล้ว