Web Exclusive
มารู้จักวิธีการดูแลสุนัขตั้งท้องกับ 2 steps ง่ายๆ ที่เจ้าของทุกท่านควรทราบ

เตรียมตัวให้พร้อมเมื่อน้องหมาที่บ้านตั้งท้อง : กับ 2 steps ง่ายๆ สำหรับพ่อแม่มือใหม่

Howl x SmartHeart Gold

ตอบทุกข้อสงสัยที่พ่อแม่น้องหมามือใหม่ต้องเจอ !

เมื่อน้องหมาที่บ้านกำลังจะมีน้องเป็นครั้งแรก รับรองเลยว่าเจ้าของจะต้องตื่นเต้นไม่แพ้กันแน่นอน พร้อมกับความกังวลในอีกหลายๆ เรื่อง เพราะการดูแลแม่สุนัขตั้งแต่ตอนท้องจนถึงตอนคลอดนั้นมีเรื่องชวนสงสัยมากมาย อีกทั้งการเลี้ยงลูกสุนัขให้เติบโตแข็งแรงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นในครั้งนี้เราจึงนำคำถามที่พ่อแม่มือใหม่ต้องรู้สำหรับการดูแลแม่สุนัขและเหล่าลูกตัวน้อยๆ โดยแบ่งเป็น 2 steps ง่ายๆ กันเลย

มาดู Tips การดูแลน้องหมาตั้งแต่ตั้งท้อง ให้นมลูก และดูแลสมาชิกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านให้เติบโตแข็งแรงในทุกๆ ช่วงวัย รวมทั้งการฝึกให้ลูกสุนัขเริ่มทานอาหารเม็ดอย่างไร ทุกคำถามเรามีคำตอบมาให้แล้ว.รับรองว่าพ่อแม่มือใหม่ทุกท่านหายสงสัยอย่างแน่นอน

คำถาม : สัญญาณที่บอกว่าน้องหมาที่บ้านตั้งท้อง และเตรียมความพร้อมสำหรับแม่หมายังไง

เอ น้องหมากำลังท้องอยู่หรือเปล่านะ 

หลายคนอาจสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้องหมากำลังท้องอยู่หรือเปล่า เรามีวิธีสังเกตง่ายๆ 2 – 3 สัปดาห์หลังการผสมพันธุ์ คือ น้องหมาจะเริ่มกินอาหารน้อยลงและมีอาการอ่อนเพลีย นี่เป็นสัญญาณแรกของน้องหมาตั้งท้องเลย ตามด้วยพฤติกรรมเปลี่ยน บางตัวอาจจะขี้อ้อนเจ้าของมากขึ้น บางตัวอาจจะไม่ยอมให้จับบริเวณช่องท้อง สัญญาณถัดมาที่เริ่มจะชี้ชัดแล้วก็คือ เต้านมของน้องหมาจะใหญ่ขึ้น และหัวนมมีสีเข้มขึ้นจากการที่่มีเลือดไปเลี้ยง ขนาดท้องเริ่มใหญ่ขึ้น รวมไปถึงน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย ในระหว่างนี้แนะนำว่าควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจยืนยันอีกครั้ง หากคุณหมอคอนเฟิร์มว่าท้อง เราก็เตรียมตัวดูแลแม่หมากันเลย

วิธีการเตรียมความพร้อมให้แม่สุนัขช่วงตั้งท้อง มีดังนี้

1. เตรียมพื้นที่เหมาะสมให้แม่สุนัข : โดยปกติแล้วแม่สุนัขจะตั้งท้องนาน 60-65 วัน หรือประมาณ 8-9 สัปดาห์ นั่นเอง ในระหว่างนี้เราควรจัดพื้นที่ที่สงบ มีอากาศถ่ายเท และสะอาด เพื่อเป็นพื้นที่ที่สำหรับคลอดและดูแลลูก โดยอาจปูเบาะหรือหรือปูผ้าไว้เพื่อให้แม่สุนัขอยู่สบายมากขึ้น รวมทั้งอาจเตรียมหลอดไฟในกรณีที่จำเป็น

2. ระวังเรื่องการใช้ยาและวัคซีน : มียาและวัคซีนหลายตัวที่ไม่ควรใช้กับแม่สุนัขช่วงตั้งท้องเพราะมีผลต่อลูกในท้องได้ ดังนั้นก่อนใช้ยาทุกชนิด รวมไปถึงยาใช้ภายนอก อย่างยาทาหรือยาหยอดหลัง ก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย

3. งดกิจกรรมหนักๆ : ในช่วงสุนัขท้องควรงดการทำกิจกรรมหนักๆ เช่น วิ่ง กระโดด หรือว่ายน้ำ โดยควรปรับการออกกำลังกายเป็นเดินระยะทางสั้นๆ แทน เพื่อลดโอกาสการเสี่ยงที่จะกระเทือนลูกในท้อง ซึ่งอาจทำให้แท้งลูกได้

4. สารอาหารต้องครบถ้วน : สิ่งสำคัญที่สุดของแม่สุนัขช่วงตั้งท้องคือเรื่องของอาหาร ต้องมีสัดส่วนโปรตีนและพลังที่สูง เพราะแม่สุนัขต้องใช้โปรตีนในการเสริมสร้างพัฒนาการของตัวอ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างน้ำนม โดยอาหารสุนัข SmartHeart Gold Mother & Baby Dog ถูกออกแบบมาเพื่อแม่สุนัขตั้งท้องและให้น้ำนมโดยเฉพาะ อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ให้พลังงานเหมาะสม อีกทั้งยังเสริมพรีไบโอติก เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารและขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

5. แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ : เมื่อน้องหมาตั้งท้องถึงสัปดาห์ที่ 5-6 เราควรเพิ่มอาหารจากเดิมเป็น 1.25 – 1.5 เท่า แต่ในช่วงนี้แม่สุนัขอาจจะเริ่มกินได้น้อยลงแล้ว เพราะกระเพาะอาหารถูกเบียดจากลูกๆ ในท้องทำให้ขยายตัวรับอาหารได้ไม่เต็มที่ เรามีเคล็ดลับคือแบ่งมื้ออาหารให้ถี่ขึ้น อาจจะให้ถึง 5-8 มื้อต่อวัน โดยแต่ละมื้อให้อาหารน้อยลง วิธีนี้จะทำให้แม่สุนัขกินได้มากขึ้นและได้รับสารอาหารเพียงพอในช่วงท้ายของการตั้งท้อง

คำถาม : ดูแลแม่หมาให้นมลูกอย่างไรไม่ให้โทรม และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไข้น้ำนม

ช่วงเวลาการให้นมลูก นับเป็นอีกช่วงเวลาที่สำคัญที่มักถูกมองข้ามโดยเจ้าของหลายๆ คน เพราะส่วนหนึ่งมีความเชื่อว่าร่างกายของแม่สุนัขต้องการพลังงานมากที่สุดแค่เพียงช่วงระยะเวลาก่อนคลอดเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ช่วงระยะเวลาการให้นมนี้เองนับเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ร่างกายของแม่สุนัขต้องการพลังงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องสร้างน้ำนม และการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายหลังคลอดด้วย การได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับอาหารไม่เหมาะสมในช่วงนี้จะส่งผลให้ร่างกายแม่สุนัขซูบผอมหรือที่เรียกกันว่า “โทรม” หรืออาจเกิดไข้น้ำนมขึ้นได้

โดยแนวทางดูแลแม่สุนัขและลูกสุนัขแรกเกิดที่ควรทราบมีดังต่อไปนี้

1. แม่ไม่โทรม ต้องเลือกใช้อาหารที่มีโปรตีนสูง : เรายังคงอยู่กับประเด็นเรื่องโปรตีนสูงต่อแม้หลังคลอดแล้วก็ตาม เพราะจริงๆ แล้วปริมาณโปรตีนเป็นเรื่องที่สำคัญมากกับแม่สุนัขทั้งในช่วงก่อนคลอดและหลังคลอด โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างน้ำนมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอกในร่างกาย ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้แม่สุนัขโทรมเราจึงต้องเลือกอาหารสุนัข SmartHeart Gold Mother & Baby Dog ที่นอกจากจะมีปริมาณโปรตีนสูงแล้วยังเป็นโปรตีนคุณภาพสูงทำให้ย่อยง่ายอีกต่างหาก

2. รู้จักไข้น้ำนมและวิธีป้องกัน : ไข้น้ำนมคือภาวะที่ร่างกายของแม่สุนัขมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการเกร็ง ชัก มีไข้สูง และอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้เลย ส่วนมากมักพบในแม่สุนัขพันธุ์เล็กที่มีลูกดก เพราะต้องผลิตน้ำนมซึ่งใช้แคลเซียมมากให้กับลูกๆ รวมไปถึงการได้รับสารอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอก็ทำให้เกิดไข้น้ำนมได้เช่นกัน แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะหากเราใช้อาหารสุนัข SmartHeart Gold Mother & Baby Dog ที่มีปริมาณแคลเซียมที่เหมาะสมแล้วจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไข้น้ำนมในแม่สุนัขได้ อีกทั้งยังช่วยผลิตน้ำนมแก่ลูกน้อยอย่างมีคุณภาพอีกด้วย

3. ให้ลูกสุนัขได้กินน้ำนมแม่ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด : น้ำนมช่วง 24 ชั่วโมงหลังคลอดจะถูกเรียกว่าน้ำนมเหลือง (Colostrum) ซึ่งเป็นน้ำนมที่มีโปรตีนสูงและมีสารภูมิคุ้มกันต่างๆ จากแม่อยู่ด้วย เมื่อลูกสุนัขได้ทานจะทำให้ได้รับภูมิคุ้มกันส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นเมื่อลูกสุนัขคลอดมาแล้วพยายามให้ลูกสุนัขได้ดูดนมแม่โดยเร็วทุกตัว เพื่อให้ได้รับน้ำนมเหลืองเพียงพอ

4. ดูแลลูกสุนัขอย่าให้ถูกแม่ทับ : บางครั้งลูกสุนัขแต่ละตัวอาจจะมีขนาดที่ไม่เท่ากัน บางตัวอาจจะอ่อนแอกว่าตัวอื่น เราจึงต้องคอยสังเกตว่าลูกสุนัขทุกตัวได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ หากมีลูกตัวที่อ่อนแอไม่สามารถดูดนมแม่ได้ เราต้องจับลูกสุนัขมาให้นมกับแม่เอง รวมไปถึงแม่สุนัขบางตัวอาจยังไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกทำให้เผลอนอนทับลูกน้อยได้ เราต้องหมั่นคอยเช็คดูไม่ให้แม่สุนัขทับลูกของเขาเอง เพราะอาจจะทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้

คำถาม : เมื่อไหร่ถึงให้ลูกสุนัขหย่านม และควรให้ทานอะไรเป็นมื้อแรก

หลังหย่านม เราควรให้มื้อแรกเป็นอะไรดีนะ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าลูกสุนัขนั้นควรเริ่มหย่านมเมื่อไหร่ดี และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือหลังหย่านมแล้วเราควรให้อาหารอะไรกับลูกสุนัขเป็นมื้อแรกดีนะ ลูกสุนัขกินอาหารเม็ดได้ไหม ไม่ต้องห่วงไป เดี๋ยวเรามาไขข้อสงสัยเหล่านี้ไปด้วยกันเลย

 1. ลูกสุนัขจะเริ่มหย่านมในช่วง 4-6 สัปดาห์ : ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังคลอด ลูกสุนัขจะเริ่มหย่านม โดยก่อนหย่านมเราต้องเตรียมความพร้อมให้กับลูกสุนัขคุ้นเคยกับอาหารเม็ดกันเสียก่อน หลายคนคิดว่าฝึกลูกสุนัขให้กินอาหารเม็ดได้หลังหย่านม ซึ่งเราบอกเลยว่าสายไปแล้ว เราควรเริ่มฝึกลูกสุนัขให้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารเม็ดตั้งแต่อายุ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป อาจเริ่มจากการลองให้เลียชิมอาหารที่ให้แม่หมาก่อน และให้อาหารเม็ดเป็นอาหารหลักได้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป

2. มื้อแรกควรเป็นอาหารเม็ดที่ผสมน้ำหรือนม : เมื่อเจ้าตัวน้อยอายุ 3-4 สัปดาห์ เราก็สามารถเริ่มฝึกให้เจ้าตัวเล็กรู้จักและคุ้นเคยกับมื้อแรกที่เป็นอาหารเม็ดได้เลย หลักการคือควรเลือกอาหารเม็ดที่มีความสามารถในการดูดซับน้ำได้ดี เพราะจะทำให้ตัวเม็ดนิ่ม เคี้ยวง่าย และมีความน่ากินมากขึ้น และเรามีทีเด็ดเลยคือ เมื่อเราเลือกอาหารเม็ดที่ดูดซับน้ำได้ดีแล้วให้ลองนำมาผสมกับน้ำหรือนมอุ่นดู โดยถ้าเลือกใช้นมควรเป็นนมแพะหรือนมทดแทนสำหรับลูกสุนัขโดยเฉพาะเท่านั้น ห้ามใช้นมวัวเด็ดขาดเพราะอาจทำให้ลูกสุนัขท้องเสียได้ เมื่อผสมแล้วรอให้อาหารเม็ดนิ่มหรือใช้ช้อนบดเล็กน้อย แล้วให้เจ้าตัวเล็กลองชิมทีละน้อย โดยแต่ละมื้อควรใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาที

3. ควรใช้อาหารเม็ดที่มีพรีไบโอติก : เพราะร่างกายลูกสุนัขยังไม่เติบโตเต็มที่ ดังนั้นจึงควรเลือกอาหารเม็ดที่มี 3 พลังจากพรีไบโอติก อันได้แก่ กาแลคโต-โอลิโกแซคคาไรด์ (GOS), ฟรุกโต-โอลิโกแซคคาไรด์ (FOS), แมนแนน-โอลิโกแซคคาไรด์ (MOS) และเบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากธรรมชาติ ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในทางเดินอาหาร ป้องกันท้องเสียได้ และควรมีน้ำสะอาดให้ลูกสุนัขได้ดื่มตลอดเวลา

การใส่ใจในมื้อแรกของน้องหมาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อเตรียมความพร้อม และช่วยให้น้องหมาเติบโตได้อย่างเหมาะสม เริ่มต้นมื้อแรกของลูกสุนัขด้วย SmartHeart Gold Mother & Baby Dog ที่มีครบทั้ง 4 องค์ประกอบให้ลูกสุนัขได้ลองทาน รับรองว่าลูกสุนัขชื่นชอบแน่นอน เพราะว่าดูดซับน้ำได้ดีทำให้ทานง่าย อีกทั้งยังมีสารอาหารครบถ้วนและมีพรีไบโอติกช่วยเสริมภูมิคุ้มกันจากธรรมชาติทำให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังสะดวกเพราะใช้สูตรนี้ได้ตั้งแต่แม่สุนัขตั้งท้อง ให้นม และใช้ฝึกลูกสุนัขกินอาหารเม็ดได้เลย

คำถาม : เลี้ยงลูกหมาอย่างไร ให้เติบโตแข็งแรง และมีพัฒนาการที่ดี

เอ๊ะ…น้องหมาโตเร็วจังเลย

ปกติแล้วลูกสุนัขจะเจริญเติบโตเต็มที่ ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นขนาดตัวหรือสายพันธุ์ แต่โดยเฉลี่ยจะโตเต็มวัยในช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป ดังนั้นลูกสุนัขจะใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไปจนถึงอายุประมาณ 1 ปี ซึ่งในช่วงอายุ 3 เดือน – 1 ปีนี้เองเป็นช่วงที่ลูกสุนัขมีการเจริญเติบโตของส่วนต่างๆ ในร่างกาย และลักษณะนิสัยที่มีความกระตือรือร้น ชอบเล่น อยากรู้อยากเห็น และชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียกได้ว่าพัฒนาทั้งร่างกายและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมากมายจนคุณต้องตะลึงไปเลยล่ะ

มาดูกันดีกว่าว่าเราต้องเลี้ยงลูกสุนัขอย่างไรให้เติบโตแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดี

1. พัฒนาการทางร่างกาย : ช่วงหลังหย่านมฟันน้ำนมลูกสุนัขจะขึ้นครบแล้ว ทำให้พวกเขาหมั่นเขี้ยวชอบกัดแทะสิ่งต่างๆ และเมื่อลูกสุนัขอายุ 10 สัปดาห์ขึ้นไป จะเริ่มมีการพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ ร่างกายเติบโตอย่างรวดเร็ว เหล่าน้องหมาช่วงนี้จะชอบวิ่งเล่น ออกกำลังกาย เรียกได้ว่าวิ่งได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลย ในช่วงนี้เราควรปล่อยให้พวกเขาได้เล่นและออกกำลังอย่างเต็มที่ โดยลูกสุนัขจะเริ่มมีพัฒนาการทางเพศตอนอายุประมาณ 4 เดือน และเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ตอนอายุประมาณ 6 เดือน โดยในน้องหมาเพศเมียสามารถดูได้จากการเป็นสัดครั้งแรก

2. พัฒนาการทางนิสัย : ลูกสุนัขอายุช่วง 6-12 สัปดาห์จะเป็นช่วงที่พวกเขาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว โดยมีแม่สุนัขคอยดูแล ในช่วงนี้เราจะค่อยๆ เริ่มฝึกลูกสุนัขให้รู้จักการฝึกนิสัยเบื้องต้นได้ เช่น เริ่มฝึกให้ขับถ่ายเป็นที่ รวมไปถึงควรเปิดกว้างให้เหล่าน้องๆ ได้เรียนรู้และเห็นสิ่งต่างๆ ไปก่อน เพราะว่าเป็นช่วงที่เขากำลังทำความเข้าใจโลกใบนี้นั่นเอง ส่วนการฝึกทำตามคำสั่งต่างๆ เช่น นั่ง หรือให้คอย สามารถเริ่มฝึกได้เมื่อสุนัขมีอายุ 4 เดือนขึ้นไป

3. การดูแลสุขภาพ : สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งในช่วงนี้คือการฉีดวัคซีนและถ่ายพยาธิ โดยปกติแล้วลูกสุนัขเริ่มฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่ 8 สัปดาห์ขึ้นไป โดยสัตวแพทย์จะวางโปรแกรมวัคซีนและฉีดวัคซีนป้องกันโรคสำคัญต่างๆ ในสุนัข รวมไปถึงการถ่ายพยาธิก็เป็นเรื่องที่ห้ามมองข้ามเช่นกัน ลูกสุนัขจะเริ่มถ่ายพยาธิในทางเดินอาหารให้กับลูกสุนัขได้ตั้งแต่อายุ 6-8 สัปดาห์ และถ่ายพยาธิซ้ำเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน

4. อาหารและโภชนาการ : ซึ่งในช่วงอายุ 3 เดือน – 1 ปีนี้เองที่ลูกสุนัขจะต้องทานอาหารสูตรสำหรับลูกสุนัขโดยเฉพาะ เนื่องจากลูกสุนัขมีความต้องการทางด้านสารอาหารมากเป็นพิเศษเนื่องจากมีการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เนื่องด้วยเหตุนี้เอง อาหารสุนัข SmartHeart Gold Puppy Pro-Growth จึงถูกคิดค้นมาเพื่อน้องหมาอายุตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปี โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่มีสารอาหารครบถ้วน แต่ยังอุดมไปด้วย DHA ที่เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมองและจอประสาทตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและการมองเห็นในลูกสุนัข มีนิวคลิโอไทด์ (Nucleotides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย มีความสำคัญต่อการสร้าง DNA และ RNA ช่วยส่งเสริมการทำงานของอวัยวะต่างๆ กระตุ้นการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับน้องหมา

อีกทั้งยังมีพรีไบโอติกสำคัญทั้ง 3 ชนิด คือ ฟรุกโต- โอลิโกแซคคาไรด์ (FOS), กาแลคโต-โอลิโกแซคคาไรด์ (GOS) และแมนแนน-โอลิโกแซคคาไรด์ (MOS) ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในทางเดินอาหารและส่งเสริมภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ

สุดท้ายเราอยากเน้นย้ำว่าการให้สารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับลูกสุนัขอายุ 3 เดือน – 1 ปี มาเริ่มต้น Step ที่สองด้วย SmartHeart Gold Puppy Pro-Growth ให้เจ้าตัวน้อยของเราเติบโตไปด้วยกันอย่างมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะ

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ สามารถไปช้อปกันได้ที่เพ็ทช็อปใกล้บ้าน Makro, Lotus’s, Tops, CJ Express และ Foodland (สินค้าอาจไม่ครบทุกสาขาในบางห้าง สามารถสอบถามสาขาได้ที่ Facebook: SmartHeartThailand)

หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ All Online by 7-Eleven > https://bit.ly/3knx1qP (กดจากโทรศัพท์มือถือเท่านั้น) หรือ Official Shop ดังนี้

PCG Shop Online >> https://bit.ly/3hIFMtA

Shopee >> https://bit.ly/36DDu8Q

Lazada >> https://bit.ly/3z1HxIc

JD Central >> https://bit.ly/3eoAl0S

Wemall >> https://bit.ly/3hC5ekx